คุณคิดว่ายังไงถ้าหากว่าจะมีหิมะตกลงมาในกรุงเทพฯ ในต้นฤดูหนาวเช่นนี้
ใช่เพียงความประจวบเหมาะของห้วงเวลา ที่นับได้ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตของเหมันตกาลแล้ว เพราะในช่วงหลายวันที่ผ่านมา คนที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ คงได้สัมผัสสายลมเย็นๆ กันบ้าง ความเย็นสำหรับคนเมืองกรุงย่อมเป็นสิ่งที่โปรดปรานมากกว่าความร้อนอันคุ้นเคย และหากเราไม่ปฏิเสธความจริงจนเกินไปอาจจะมีบางคนที่คิดเช่นเดียวกันกับฉันว่าความหม่นครึ้มและออกไปทางหนาวเย็นของวันนี้ น่าจะถึงพร้อมให้มีหิมะตกลงมากลางกรุงเทพฯ เสียจริงๆ
ฉันไม่เคยเห็นหิมะร่วงหล่นลงมากับตา เมื่อนานปีมาแล้วเคยไปหนาวสั่นงันงกกลางกรุงอัมสเตอร์ดัมของฮอลแลนด์ในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ขณะนั้นแม้จะอยู่ในซีกโลกเหนือและอากาศเย็นจัด แต่ก็ยังไม่มีหิมะโปรยลงมา...หรือถ้าหากจะพูดให้ถูกก็คือฤดูกาลที่หิมะตกของที่นั่นอาจจะล่วงเลยไปแล้ว และก็เช่นกันที่เคยไปผจญอากาศเย็นชื้นและมีหมอกหม่นของกรุงลอนดอนในปลายฤดูหนาว...ซึ่งครั้งนั้นก็ได้สัมผัสแต่ความเย็นเยียบแบบเปียกชื้นของเมืองผู้ดี
มาวันนี้ วันที่ความอบอุ่นและอบอ้าวอันคุ้นเคยของกรุงเทพฯ ขอลาพักร้อน และท้องฟ้าก็หยิบยืมมุกแบบท้องฟ้าเมืองลอนดอนมาสร้างบรรยากาศของความหม่นๆ ขมุกขมัว ซ้ำอากาศก็เย็นลงแบบแตกต่างออกไป หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะจินตนาการนึกถึงหิมะปุยขาวๆ ที่อาจจะหลุดร่วงร่อนลงมาที่ปลายหางตาของเรา ยามเผลอไผลไม่ทันมองอากาศที่เป็นอยู่ข้างนอกอย่างแท้จริง
แล้วก็จริงๆ นั่นแหละ วันนี้ที่กรุงเทพฯ ก็มีหิมะตกลงมาเสียด้วย แต่เป็นหิมะที่ตกลงมาเป็นหยดฝนบางเบาๆ
อิทธิฤทธิ์ของพื้นที่เล็กๆ พื้นที่แห่งความคิด ขอบเขตของความหวัง การเดินทางกับความทรงจำที่ไม่สุดสิ้น
วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550
เช้าวันอาทิตย์
วันนี้เป็นวันอังคารตอนสายๆ ภารกิจประจำวันบางส่วน เช่น การกินอาหารเช้าผ่านพ้นไปเฉกเช่นวันอื่นๆ วันนี้ไม่ต้องรีบออกจากบ้าน เพราะกิจกรรมบางอย่างเลื่อนระยะเวลาออกไป...นึกย้อนไปถึงความรู้สึกแรกของวันนี้ที่ลงไปเปิดประตูหน้าต่างห้องครัวเพื่อนตระเตรียมจัดการอาหารเช้า พอเปิดหน้าต่างก็พบว่ามีลมเย็นโชยเข้ามาแบบไม่ตั้งอกตั้งใจ...
นี่ก็หลายวันแล้วสินะ ตั้งแต่ลมเย็นๆ จำนวนหนึ่งได้ลัดเลาะผ่านตึกสูงและดงคอนกรีตเข้ามาแทรกซึมในเมืองหลวงแห่งนี้ เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เป็นอีกเช้าหนึ่งที่รู้สึกถึงสายลมหนาว แม้จะไม่หนาแน่น แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดี โปร่งเบา ผ่อนคลาย ไม่หนักหน่วงเคลือบคลุมเช่นตอนมีอยู่ของฤดูฝน
สายฝนจะกลับมาอีกหรือไม่ในปลายเดือนตุลาคมเช่นนี้ หรือว่าเม็ดฝนเม็ดสุดท้ายที่ร่วงหล่นไปเมื่อไรจนเราแทบจะทำไม่ได้จะเป็นเหมือนสายฝนสุดท้ายของฤดูกาล
เช้าวันอาทิตย์กับการมีอยู่ของแสงแดดยามสายและลมเย็นๆ จำนวนหนึ่ง ได้นำพาความสุขบางเบาเกิดขึ้นในจิตใจ เกิดความสงบและหวนรำลึกถึงเส้นทางชีวิตและความทรงจำที่ผ่านมา
อยากให้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและมีอยู่เฉพาะแต่ในตอน'เช้าวันอาทิตย์'
นี่ก็หลายวันแล้วสินะ ตั้งแต่ลมเย็นๆ จำนวนหนึ่งได้ลัดเลาะผ่านตึกสูงและดงคอนกรีตเข้ามาแทรกซึมในเมืองหลวงแห่งนี้ เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เป็นอีกเช้าหนึ่งที่รู้สึกถึงสายลมหนาว แม้จะไม่หนาแน่น แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดี โปร่งเบา ผ่อนคลาย ไม่หนักหน่วงเคลือบคลุมเช่นตอนมีอยู่ของฤดูฝน
สายฝนจะกลับมาอีกหรือไม่ในปลายเดือนตุลาคมเช่นนี้ หรือว่าเม็ดฝนเม็ดสุดท้ายที่ร่วงหล่นไปเมื่อไรจนเราแทบจะทำไม่ได้จะเป็นเหมือนสายฝนสุดท้ายของฤดูกาล
เช้าวันอาทิตย์กับการมีอยู่ของแสงแดดยามสายและลมเย็นๆ จำนวนหนึ่ง ได้นำพาความสุขบางเบาเกิดขึ้นในจิตใจ เกิดความสงบและหวนรำลึกถึงเส้นทางชีวิตและความทรงจำที่ผ่านมา
อยากให้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและมีอยู่เฉพาะแต่ในตอน'เช้าวันอาทิตย์'
...หนังสือที่ไม่มีวันอ่านจบ...
สำหรับฉันแล้ว "ต้นส้มแสนรัก" วรรณกรรม 'เยาวชน' จากบราซิลเป็นอีกเล่มหนึ่งที่อ่านมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยที่จะอ่านจบ นอกจากเล่มนี้ก็ยังมี 'วอลเดน' ของเดวิด ธอโร อีกเล่มหนึ่งที่ไม่ยอมอ่านแบบมุทะลุให้จบกันไปในคราวเดียว...เสียสักที
...................................
สำหรับเรื่องราว ความประทับใจ ความทรงจำที่มีต่อต้นส้มแสนรัก คงจะมาจากความคิดของผู้เขียน (โจเซ่ วาสคอนเซลอส) และภาษาที่ถ่ายทอดความคิดความฝันและจินตนาการของเด็กได้อย่างงดงาม...อยากจะนำความมาพูดคุยมากกว่านี้ แต่ขอโทษที ยังอ่านไม่จบ
...................................
ลองอ่านนี่ดู...
"เซเซ่ พี่ร้องเพลงบ้านหลังน้อยให้ฉันฟังหน่อยสิ
ผมอ้าปากร้องเพลง
ฉันมีบ้านหลังน้อย ปลูกอยู่บนเนินเขา
ใกล้กับสวนผลไม้ มีทะเลสีเงินเห็นอยู่ลิบๆ
ผมร้องข้ามไป ๒ -๓วรรค
ตั๊กแตนร้องเพลงอยู่ในดงมะพร้าว พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
นกไนติงเกลร้องเพลงหวานเจื้อยแจ้ว ดังมาจากน้ำพุในสวน"
(ต้นส้มแสนรัก แปลโดยมัทนี เกษกมล ปี พ.ศ. 2522)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)